วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

Happiness Is All Around





วันนี้ คุณจำได้ไหมครับ ว่าเจอเรื่องที่ทำให้มีความสุข ทำให้ยิ้มได้กี่เรื่องครับ

เออ....ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตั้งใจนึกขนาดนั้น ผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันครับ

แค่นั่งยิ้มคนเดียวบ่อยๆ จนน้องๆ คิดว่า ไปซะแล้ว (ยังครับ ยังไม่ถึง แค่ใกล้ๆ) 5555

ผมว่าถ้าเราไม่จดบันทึกไว้ ไม่มีทางที่เราจะจำได้แน่นอน เหมือนหนังสือที่ผมจะมาแนะนำวันนี้

ขอเรียกว่าแนะนำ ไม่เรียกว่า รีวิว เพราะว่าผมเองก็ยังไม่ได้เคยอ่าน ไม่มีอยู่ในมือ



" 14,000 Things to be Happy About " 


เขียนโดย Barbara Ann Kipfer ผู้เขียนหรือรวบรวมพจนานุกรม 

วัย 61 ปีธอเขียนหนังสือเล่มนี้จาก บันทึกประจำวันของเธอ

ซึ่งดูจากจำนวนความสุข แล้วผมเดาว่า ในแต่ละวันเธอคงเจอเรื่องดีๆ หลายเรื่องแน่ๆ 

เท่าที่ลองดู พบว่าเธอเขียนลงทุกๆ เรื่องจริงๆ ครับ ไม่ว่า


ความสุขจากการได้ยินเพลงโปรดในร้านกาแฟ,ความสุขขณะยืนรอรถเมล์ แล้วมีลมพัดมา,

ความสุขจากการได้ทานอาหารอร่อย

ความสุขที่บางครั้งเราไม่นึกว่าจะเป็นความสุข เช่น

การที่ได้เห็นกระรอกวิ่งเล่นกันบนสายไฟ,ได้ยินว่ามีเด็กนักเรียนได้รางวัล,

ได้เดินบนพื้นกระเบื้องเย็นๆสบายเท้า,

ด้โทรศัพท์กลับบ้านหรือแม้แต่ได้เห็นสนามหญ้าบ้านเพื่อนเขียวขึ้น !!!


จากการที่ได้ฟังนักวิจารณ์ พูดถึงหนังสือเล่มนี้ และได้ลอง search ดูคร่าวๆ ผมได้เห็นอะไรบางอย่างที่

คุณป้า Barbara Ann Kipfer อยากจะถ่ายทอดผ่านหนังสือของเธอ 

- ความสุข อยู่รอบๆ ตัวเรา 

- ความสุข เกิดขึ้นได้ ตลอดเวลา 

- ความสุข เกิดจากการที่เราเห็นคนอื่นมีความสุข 

- ความสุขเป็นสิ่งที่เราต้องจดจำ จดบันทึก 

- ความสุขไม่ต้องมีเงื่อนไข

- ความสุขไม่ต้องลงทุน 

- ความสุขไม่ได้มีราคาแพง 

- ความสุขที่สุด คือ อยู่กับ ปัจจุบัน 


อีกประเด็นที่ผมเห็นคือการจดบันทึกครับ ซึ่งคนรุ่นนี้น่าจะ ไม่ค่อยได้ทำกันเท่าไหร่

การจดบันทึกคือ เครื่องย้อนเวลาที่ทำให้เรากลับไป สู่ช่วงเวลาที่เราเคยมีความสุข ความเศร้า ประทับใจ 

ทุกครั้งที่เราเปิดอ่านและยังนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นได้รับรู้ได้ด้วย น่าสนในนะครับ 

นอกจากหนังสือแล้ว Barbara Ann Kipfer ยังมี Website น่ารักๆ ซึ่งเธอยังคงใช้บันทึกความสุข 

อย่างต่อเนื่องให้เราได้เข้าไปติดตาม  http://www.thingstobehappyabout.com ลองเข้าไปดูกันครับ 


ผมไม่มีทางพลาดหนังสือเล่มนี้แน่ๆ ถึงตอนนั้นจะมา รีวิว แบบเต็มๆอีกที นะครับ

วันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขกับทุกอย่าง รอบๆตัวนะครับ ฝันดี ครับ








วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

กบหูหนวก



คุณๆ ว่าปัญหา Top Hit ในที่ทำงาน คืออะไรครับ

ผมว่า Top 3 ต้องมีเรื่อง "Gossip" - " นินทา " แน่นอน !!!!

บาง office อาจจะเป็นอันดับแรกๆ เลยก็ได้นะครับ

เรื่องการนินทา นี่หนีไม่พ้น เลี่ยงไม่ได้ จริงๆครับ ลองว่าถ้ามีคนมากกว่า 3 คนหล่ะก็ เป็นต้องมีการเม้าส์

การห้ามคนไม่ให้พูด ไม่ให้นินทากันนี่ ยากครับ แต่เรามีวิธีจัดการเรื่องนี้ได้ครับ มาดูกันครับ ว่าทำไง


ณ. อ๊บ อ๊บ นคร  เมืองหลวงของ Froggy City 

ทางการได้จัดให้มีการคัดเลือก ผู้นำกบตัวใหม่ ขึ้นมาแทน ผู้นำกบตัวเก่าที่ต้องรีบไปทำภาระกิจเฝ้า

พระอินทร์บนสวรรค์ แบบ one way ticket ( ไปไม่กลับ ) 

วิธีการคัดเลือก ก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องหาเสียง ไม่มีหย่อนบัตร แค่ต้องปีนขึ้นไปบนยอดของเสา

หลักกลางเมือง ที่สูงแหงนคอตั้งบ่า ประมาณตึก 10 ชั้น 

โดยห้ามใช้เครื่องมือใด ใช้ได้แต่มือเปล่าๆเท่านั้น 

แน่นอน ด้วยการคัดเลือกง่ายๆ แบบนี้ ทั้งกบหนุ่ม กบแก่ จากทั่ว อ๊บ อ๊บ นคร จึงมาสมัครกัน

กันอย่างคับคั่ง บริเวณโดยรอบเสาก็เต็มไปด้วย กบมุง มีทั้งกองเชียร์ และกองแซว ที่มาเกาะ

ติดข่าว

กบอ้วน ขออาสาลองปีนขึ้นเป็นตัวแรก เสียงกบมุงก็เริ่มวิจารณ์ เริ่มแซว " อ้วนขนาดนี้ยังจะกล้ามา 

จะปีนขึ้นเหรอพุงใหญ่ขนาดนี้ " พอมีตัวแรกเริ่ม ตัวอื่นๆก็แซวตาม เจ้ากบอ้วนก็เริ่มไม่มั่นใจ 

หวั่นไหวไป ตามคำวิจารณ์ มือไม้สั่น ปีนขึ้นไปได้หน่อยก็ ก็ร่วงผลอยลงมา 

ได้รับเสียงปรบมือจาก กบมุง เกรียวกราว ( คงสมน้ำหน้ามากกว่านะ ผมว่า) 

กบผอม เป็นกบกล้าตัวต่อมา  แน่นอนครับ มีเหรอจะหนีเสียงวิจารณ์ของกบมุงได้ 

จากที่เตรียมตัวมาดี ฟิตร่างกายมาเต็มที่ พอได้ยินเสียงแซวมากๆ ก็ใจฝ่อ 

ถอดใจร่วงลงมา ตั้งแต่ ก่อนครึ่งเสา 

ตัวต่อมาเป็น กบหนุ่มใหญ่ วัยพอๆกับผมเลยครับ กำลังไฟแรง มีประสบการณ์การปีนมาแล้ว 1 ครั้ง 

พอเริ่ม warm up ก็มีเสียงลอยมาจากกบมุงเช่นเคย " แก่แล้วยังไม่เจียม,คราวที่แล้วก็ร่วงยัง

กล้ามาอีก"บลา บลา บลา 

แต่ตัวนี้ไม่ร่วงครับ เฮียแกไม่ได้ปีน เพราะดันไปมีเรื่องกับ กองแซวซะก่อน 55555

กบตัวแล้ว ตัวเล่า ที่ทั้งอาสาและโดนขอร้องแกมบังคับเข้ามาคัดเลือก ไม่มีตัวไหนเลยสามารถ

ปีนไปถึงยอดได้ เรียกมาร่วงกันเกือบหมดเมือง

คณะกรรมการจำต้องหันหน้ามาประชุมกันเพื่อหาทางออก และแล้วหนึ่งในคณะกรรมการก็นึก

ขึ้นมาได้ว่า ยังมีกบหนุ่มน้อยอีกตัวอยู่ในป่าชานเมือง ต้องรีบไปเอาตัวมาให้ได้ 

แล้ว เจ้ากบน้อยก็ถึงลานกลางเมืองพร้อมด้วยเสียงของกบมุง,กองเชียร์ กองแซว 

อื้ออึงไปทั่วเช่นเคย

เจ้ากบน้อย ค่อยๆไต่ขึ้นไป ทีละนิด ทีละหน่อย เหนื่อยก็หยุดพัก แล้วก็ปีนขึ้นต่อไป ที่ละชั้นๆ 

ถึงตอนนี้ เสียงด้านล่างเริ่มเงียบลง ทุกคนคอยลุ้น คอยให้กำลังใจ เจ้ากบตัวนี้ 

ในที่สุด Froggy City ก็ได้ผู้นำคนใหม่ " เจ้ากบน้อยตัวนี้ นี่เอง 

ตอนนี้รอบๆ ลาน กลับมีแต่เสียงชื่นชม โห่ร้องด้วยความดีใจ 

พอเจ้ากบหนุ่มน้อยลงมาถึงพื้นก็โดนรุมล้อมไปด้วย ประชาชนชาวกบ ถามไถ่ด้วยความสงสัยว่า 

ทำได้ยังไง แต่ไม่ว่าจะถามยังไง เจ้ากบหนุ่มน้อยก็ไม่ยอมตอบ ยังเงียบสนิท 

จนกระทั่ง กบตัวหนึ่งในกลุ่มทนไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นมาว่า 

" ไม่ต้องไปถามหรอก ถามยังไงก็ไม่มีทางตอบ เพราะเค้าไม่ได้ยิน เค้าเป็น "กบหูหนวก" 

ด้วยเหตุนี้เองครับ ที่เจ้ากบหนุ่มน้อยตัวนี้ ถึงสามารถปีนไปได้ถึงยอดเสา 

เพราะเค้าไม่ได้ยินว่า เสียงรอบข้าง พูดถึงเค้ายังไง ไม่ว่าในแง่ดีหรือร้ายแค่ไหน 

ไม่มีเสียงไหนมาทำให้หวั่นไหวได้ จึงตั้งหน้า ตั้งตา ปีนต่อไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเสา 



ถูกต้องแล้วครับ วิธึที่เราจะแก้ปัญหาเรื่องการ "นินทา" เราต้อง"หูหนวก" ครับ 

ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน ต้องไม่ใส่ใจ ต้องไม่ให้ความสำคัญ แล้วคำ"นินทา" จะไม่มีผลกับเรา 


คนที่ชอบนินทาไม่เคย ทำประโยชน์ให้ใคร นอกจากตัวเอง

เสียงนินทา มันคือ บททดสอบ

เสียงนินทา ไม่ทำให้เรามีความสุขน้อยลง ความสุขไม่ได้อยู่ที่ปากใคร อยู่ที่ใจเรา

คนที่พูดถึงเรา ลับหลัง เพราะเรา ล้ำหน้าเค้าไปแล้ว มั่นใจตัวเอง ไม่ไหวหวั่น

นินทาที่แท้จริง คือ กระจก นินทาที่ไม่มีมูล คือ ไร้สาระ

อย่าเสียเวลา แม้แต่ไปรำคาญเค้า 

คนนินทา น่าสงสาร พูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ focus เรื่องดีๆไม่เป็น ชีวิตจมอยู่กับเรื่องแย่ๆ

เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ใครจะว่า ใครจะนินทา ก็ช่างเค้าเถอะ

คนนินทามีความสามารถพิเศษในการจับผิด เพราะจับเรื่องถูกต้องไม่เป็น

เราห้ามเค้าพูดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะฟังได้




การที่คนไร้สาระ เอาเรื่องไร้สาระของเรา ไปพูดกับ

 คนไร้สาระอีกคน มันคือ เรื่องไร้สาระ 

ถ้าเราไปใส่ใจ เรื่องที่คนสองคนนี้พูดกัน 

แสดงว่าเราก็เป็นคนไร้สาระเช่นกัน..

เราไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่ไหมครับ


วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

FoCus




พักนี้ (จริงๆ ก็พักใหญ่ๆ อยู่นะครับ 555) ที่คนรอบข้าง,เพื่อนๆ,คนรู้จัก มาระบายแกมบ่นให้ได้ยิน

บ่อยๆ ว่าเบื่องาน เบื่อชีวิต เบื่อโน่น เบื่อนี่ ไม่ค่อย Happy ไม่ค่อย Enjoy กัน ชีวิตกันซักเท่าไหร่

บางคนก็มาบ่นเฉยๆ แบบว่า ช่วยฟังหน่อยเหอะ  บางคนก็ขอความคิดเห็น ขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำ

ในฐานะที่เห็นว่าผม อาวุโสทั้งอายุ และหน้าตา 55555


ส่วนใหญ่ก็จะรับฟังด้วยความเต็มใจ พร้อมให้คำแนะนำ เท่าที่จะทำได้ เท่าที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์

มีบางคนก็จะถามกลับมาว่า ชีวิตผมเป็นยังไง มีปัญหาอะไรบ้างป่าว ( หลังจากบ่นให้ผมฟังมาเต็มที่แล้ว)

ถ้าเพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยสนิท ผมก็ตอบกลางๆ ว่า ก็ OK อยู่ครับ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก

ไม่กล้าบอกความจริง กลัวว่าเค้าจะรู้สึกไม่ดี กลัวเค้าหมั่นไส้

แต่ถ้าเพื่อนสนิท มิตรรัก แฟนเพลง ผมก็จะบอก(ดังๆ) เลยว่า "โค ต ร มีความสุขเลย  ชีวิตเค้าเนี่ย"

จริงๆ นะครับ  แต่

ไม่ใช่ว่าผมรวยแล้ว 

ไม่ใช่ว่าผมไม่เป็นหนี้ 

ไม่ใช่ว่าผมกำลังจะมีบ้าน 

ไม่ใช่ว่าผมมีรถหรูๆขับ 

ไม่ใช่ว่าผมมีงานดีๆทำ 

ไม่ใช่ว่างานผมไม่มีปัญหา

ไม่ใช่ว่าเจ้านายไม่เคยตำหนิ 

ไม่ใช่น้องๆ ในทีม ไม่เคยสร้างปัญหา

แล้วผมจะมีความสุขได้ยังไงน่ะเหรอครับ มีได้สิครับ 

เพราะว่านอกจากผมจะมีพี่น้องที่อบอุ่นที่รักผม, 
มีแฟนที่น่ารักแล้วก็รักผมมากๆ ( หรือป่าวน้า) 

ผมยังมีวิธีสร้างความสุขให้ตัวเองโดยการ "FOCUS" แต่เฉพาะเรื่องดีๆ 


ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในแต่ละเหตุการณ์ แทนที่จะมองแต่เรื่องแย่ๆ 

ความทรงจำของเราเป็นกล้องถ่ายรูป ( แบบ Manual) นะครับ 


กล้องที่มีการบันทึกภาพ ตลอดเวลา ทุกเหตุการณ์ ที่เราลืมตาตื่นขึ้นมา


ทัศนคติ (Attitude) เป็นตัวปรับ "FOCUS" และมุมมอง ของภาพ 


เวลาที่เราจับกล้องขึ้นมาเล็ง เราสามารถเลือกที่ "FOCUS" ภาพได้เอง


ว่าจะให้ชัดแบบไหน ชัดตื้น ชัดลึก มุมกว้าง มุมแคบ ซูมใกล้ ซูมไกล 


เราอยากได้ภาพสวยแค่ไหนก็ได้ อยู่ที่เรา "FOCUS" จริงไหมครับ 





การเลือกที่จะมองแต่เรื่องดีๆ ไม่ใช่เป็นการหลอกตัวเองนะครับ แต่เป็นการสร้างกำลังใจที่ดี

เป็นการบอกตัวเองว่าชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว ชีวิตไม่ได้แย่ขนาดนั้น ชีวิตยังมีทางออก ชีวิตยังมีหวัง

ทำให้เราเปิดใจ ทำให้เราเห็นทางแก้ไข ทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง

แล้วจะมีแต่สิ่งดีๆ ถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิตเรา ไม่ขาดสาย ( ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ นะครับ)


ในทางกลับกันถ้าเราเลือกที่จะ "FOCUS" แต่เรื่องไม่ดี มองแต่ปัญหา มองแต่เรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ

ชีวิตเราก็จะมีแต่ความร้อนรน หงุดหงิด ไม่มีใจที่จะคิดอะไรดีๆ  ค่อยๆ เหี่ยวเฉา หงอยเหงา

ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ๆ และ ความคิดแย่ๆ จะดึงดูดแต่เรื่องแย่ๆ คนแย่ๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน



แล้วคุณอยากดึงดูดเรื่องแบบไหนเข้ามาในชีวิตครับ เลือก "FOCUS" เอาเลยนะครับ



" เราไม่สามารถเลือกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ทั้งหมด
แต่
เราสามารถเลือกที่จะตอบสนองสถานการณ์ที่เกิดกับเราได้" 





วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

Good Manager ( It's not easy)





วันนี้ผมโทรไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่งมาครับ เค้าเป็น Front Office Manager ในโรงแรมชื่อดัง 

ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง 

เพราะรู้ว่า ช่วง Peak ที่ผ่านมาเค้ายุ่งมากๆ ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง เลยโทรไปคุยซะหน่อย 


Q : เหนื่อยไหมครับ
A : ที่สุดอ่ะ แทบจะหายใจทางผิวหนังแล้ว 

Q : งานยุ่งมากป่าว ช่วง Peak น่ะ 
A : ถามได้ จะเข้าห้องน้ำยังไม่มีเวลา 

Q : พาแฟนไปเที่ยวบ้างหรือป่าว 
A : อย่าถาม ตอนนี้แฟนใกล้จะบอกเลิกแล้ว  

Q : หาเวลาพักผ่อนมั่งนะ เป็นห่วง  
A : พอเหอะๆ จะทำงาน งานยุ่งจะตาย 


Q : เออๆ ก็หาเวลาออกกำลังกายบ้างนะเพื่อน 
A : ( ถึงตอนนี้ มีเสียงไม่ตอบแล้วครับ แถมมีเสียง แฮ่ๆๆ ด้วย)  

Q : ไม่ถามแล้ว (ก็ได้) แค่นี้นะเพื่อน ว่างๆ ไปกินข้าวกัน 
A :  ตุ๊ด ตุ๊ด ตุ๊ด ๆๆๆๆๆ  ( มัน เอ้ย เค้าไม่ได้ว่าผมเป็น ตุ๊ดนะครับ แค่วางสายใส่) 5555 


ลำบากนะครับ ชีวิต Manager เนี่ย แต่ถามว่า อยากเลิกไหม ร้อยทั้งร้อย จะตอบว่า เลิกให้โ..่เหรอ 

ไหนจะ Benefit, เงินเดือน,โบนัส,พักร้อน จิปาถะ ดีกว่าตอนไม่ได้เป็นเยอะ 

แถมกว่าจะได้เป็น ต้องเหนื่อย ต้องต่อสู้ ฝ่าฟันมาสารพัด เหนื่อยแค่นี้เอง (ศรี) ทนได้ 

ที่สำคัญ ผมว่ามันเป็นความภูมิใจครับ มันแสดงให้เห็นว่าเราเก่ง มีประสิทธิภาพ มีความสามารถ 

คิดดูนะครับ เพื่อนๆ รุ่นๆเดียวกัน จะมีซักกี่คนที่ได้เป็น 




การเป็น Manager ว่ายากแล้ว แต่ผมว่าการเป็น Good Manager ยากกว่าหลายเท่าครับ 

ผู้จัดการที่ดีนี่ไม่ได้เป็นกันได้ทุกคนจริงๆ นะครับ ต้องมีเคล็ดลับวิชาครับ 



Good Manager ต้องเก่ง 10 อย่างนี้ครับ  


1.ก่งในการชื่นชมผู้อื่น

2.เก่งในการหาข้อดี จุดเด่นของผู้คนได้ แม้จุดเล็กๆ ก็ยังเห็น

3.เก่งในการให้กำลังใจคนอื่น เป็นต้นแบบที่ดี

4.เก่งในการให้พลังตัวเองทุกวัน ใส่ความเชื่อมั่นลงไป

5.เก่งในการแอบชื่นชมตนเอง และคิดแต่เรื่องดีดี

6. เก่งที่มีอะไรทำทันที ไม่เป็นโรคเดี๋ยวก่อน

7.เก่งในการมองหาคุณค่าของทุกอย่างที่อยู่รอบตัว มองเห็นเป็นแต่เรื่องดี

8.เก่งในการมองหาข้อดีในตัวเอง ยินดีกับสิ่งที่ตนมี และเอาออกมาเป็นจุดเด่นเพื่อช่วยคนอื่นและสังคม

9.เก่งในการเห็นจุดบกพร่องของตนเอง ปรับปรุงต้วเอง คือมองหา เรื่องที่จะ Correct

10. เก่งในการขอบคุณคนให้เป็นนิสัย เป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น 

กว่าที่เราจะได้รับมอบหมายตำแหน่ง Manager นั้น เราเอง 

ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย 

ต้องสั่งสมประสบการณ์ 

ต้องสั่งสมความรู้ 

ต้องมีความรับผิดชอบ 

ต้องทำให้เจ้านายไว้วางใจ 

ต้องแลกกับความสุขส่วนตัว

ต้องแลกกับเวลาของครอบครัว,คนรัก 

ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ พนักงาน 



จงภูมิใจในสิ่งที่ได้มา ต้องบอกตัวเองเสมอว่า เราเก่งที่สุด 

และต้องเป็น GOOD MANAGER ให้ได้ สู้ๆ นะครับ 


Overcome



สถิติ วิ่ง 100 เมตร ปี 2014  โดย Justin GATLIN ชาวอเมริกัน อยู่ที่ 9.77 วินาที

แต่นี่ยังไม่ใช่ สถิติที่เร็วที่สุดครับ

มนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ในระยะทาง 100 เมตร ใช้เวลาเพียง 9.58 วินาที เมื่อปี 2009

โดย Usian BOLT อันลือเลี่อง จาก จาไมก้า

ในแต่ละปีเราจะได้ยิน Guinness Book of World Records ประกาศเรื่อง สถิติที่ถูกทำลาย แทบจะนับไม่ถ้วน 

พวกเค้าเหล่านี้ น่าจะมีคุณสมบัติเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ

" Overcome Upper Limits "  หรือ " การก้าวข้ามขีดจำกัด" 

ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่าย คงต้องแลกมาด้วย ทั้งเวลา,กำลังกาย และกำลังใจ....มากแค่ไหน ไม่มีใครรู้ครับ 

วัดเป็นหน่วยไม่ได้ แต่ต้องสุดๆ แน่นอน...


แค่นับไหมครับ ว่าในช่วงชีวิตของเราๆท่านๆ ที่ผ่านมาเรา ต้องเสียโอกาสดีๆ ไปกี่ครั้งเพราะเรา

ไม่กล้า " Overcome our Limits " ด้วยเหตุผล สารพัดที่จะหามาแก้ตัว หามาปลอบใจตัวเอง 

จริงๆแล้วสาเหตุที่ทำให้เรา ไม่สามารถ " Overcome Upper Limits " มีอยู่ไม่มาก

- ดูถูกความสามารถของตัวเอง 

- กลัวเสียพื้นที่ " Comfort Zone" ในชีวิต ( ที่ทำงานและส่วนตัว) 

- กลัวว่าจะไม่ได้ ผลตอบแทนมากขึ้น ถ้าทุ่มเทมากขึ้น 

- กลัวว่าจะล้มเหลว 

- ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง 

-  กลัวว่าถ้าทำอะไรได้มากขึ้น จะโดนมอบหมายงานมากขึ้น 

- ขี้เกียจ !!!! ( อันนี้ ร้ายแรงที่สุด) 

น่าเสียดายนะครับ ที่คนเราเอาเหตุผลเพียงไม่กี่ข้อมาทำลายโอกาสดีๆ ในชีวิต

ซึ่งจริงๆแล้วการที่เราจะพัฒนาตัวเองนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ อาจจะเป็นแค่

เรื่องทักษะภาษา,ทักษะคอมพิวเตอร์,ทักษะการบริหาร,ทักษะงานบัญชี

ถ้าเรามีเพิ่มขึ้นอาจจะทำให้เรามีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก

หรือถ้าเป็นทักษะอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน เช่น การเล่นดนตรี,กีฬา,วาดรูป,ขับรถ,ปั่นจักรยาน,

เล่นโยคะ,ว่ายน้ำ,ถ่ายรูปหรือการเขียนหนังสือ  อื่นๆอีกมากมาย

ทักษะพวกนี้จะทำให้ ชีวิตคุณมีสีสันมากขึ้น มีความสนุกมากขึ้น มีคุณค่า มีความหมายมากขึ้น.




แล้วเราจะ " Overcome Upper Limits " ได้อย่างไร ไม่ยากครับ 


" Overcome Upper Limits " แค่เชื่อมั่นใน ความสามารถของคุณเอง (ซะที)  คนอื่นทำได้ คุณก็ทำได้

" Overcome Upper Limits " แค่บอกตัวเองว่า ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมชาติ ใครก็เจอ

" Overcome Upper Limits " แค่บอกตัวเองว่าความผิดพลาด ทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้

" Overcome Upper Limits " แค่คิดว่าต้องสำเร็จ เพียงคุณมีความตั้งใจ

" Overcome Upper Limits " แค่คิดว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

" Overcome Upper Limits " แค่ลดเครียดและลดความกังวล

" Overcome Upper Limits " เป็นการเพิ่มคุณค่าในตัวเอง

" Overcome Upper Limits " เป็นการเพิ่มศักยภาพของตัวเอง

" Overcome Upper Limits " แค่มีความสุขกับการเปลี่ยนแปลง

" Overcome Upper Limits " แค่คิดถึงภาพความสำเร็จ ที่จะได้มา ถ้าคุณทำได้


" มีแต่คนสติไม่ดีเท่านั้นครับ ที่ต้องการผลของการกระทำ ที่แตกต่าง ที่ดีขึ้น 

แต่ยังคงใช้ วิธีการเดิมๆ, วัตถุดิบเดิมๆ, กำลังคนเท่าเดิม, เครื่องมือเดิมๆ จากคนเดิมๆ " นิรนาม 


การเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามขีดความสามารถ 

เป็นหนทางที่มีศักยภาพ

ในการที่เราจะสร้างชีวิตที่มั่งคั่งและคู่ควรกับสิ่งดีๆ.




วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

Team Work Makes The Dream Work




เชื่อหรือไม่ !!!  ผมเคยเป็นกัปตันทีมบาสเกตบอล มามากกว่าหนึ่งทีม  !!!

หลายคนที่เคยเห็น สารรูป สารร่าง ของผมคงนึกขำอยู่ในใจ ว่า อ้วน ดำ ล่ำ เตี้ย แบบนี้ เนี่ยนะ 555555 

ไม่อยากจะเชื่อ !!!! 

เชื่อเถอะครับ เพราะ ผมไม่ได้ลงไปกลิ้ง เอ้ย ลงไปวิ่งอยู่คนเดียวนี่ครับ 

เวลาแข่งผมมักจะมี อีก 4 คนที่สูงกว่า หนุ่มกว่า วิ่งเร็วกว่าและเก่งกว่าผม ลงไปวิ่งอยู่ข้างๆเสมอ 

ทีมล่าสุดที่เล่นด้วยกัน ก็น่าจะเกือบๆ 15 ปีมาแล้ว ยังจำเพื่อนร่วมทีมได้ทุกคน ยังจำได้ทุกนัด 

ยังจำได้ว่าทีมเราเป็นทีม Under Dog - ทีมรองบ่อน แต่พวกเราเกือบได้ที่หนึ่ง แพ้ไปแค่  2 แต้ม  

จริงๆ ผู้เล่นแต่ละคนในทีมก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือ ตัวจี๊ดๆ ก็หลายตัว อยู่นะครับ 

ตัวที่ Hot สุดๆ ทุกวันนี้ก็เป็นคุณพ่อหนึ่ง เป็นนักขายไวน์ตัวจี๊ดในหัวหินนี่เอง ( ถ้าเค้ามาอ่าน คงรู้ตัว) 

ที่ถูกจัดว่าเป็น Under dog ก็เพราะว่า เราเพิ่งจะรวมตัวกัน ในขณะที่ทีมอื่นๆ เล่นกันมานาน 

แต่สิ่งที่ทำให้เราชนะ มาจนเข้ารอบชิง ไม่ใช่ทักษะของคนใดคนหนึ่งครับ เป็นเพราะ Team Work 

เหมือนที่ขวัญใจคนเดิมของผม Michael Jordan  -  The Legend of Chicago Bull เคยกล่าวไว้ว่า


"TALENT WINS GAMES BUT TEAMWORK WINS 

CHAMPIONSHIPS. "


ผมเคยคุยกับเพื่อนที่เป็นผู้บริหารหลายๆคน  ส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันว่า เรื่องที่บริหารยากที่สุดคือ "คน "

จริงครับ แต่ ผมว่า การบริหารทีม (การบริหารคนหลายคน) ที่ยากกว่าหลายเท่าครับ 

Team Work  คือ ความท้าทายที่สุดในการทำงาน 

Team Work  คือ กลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันในแง่ อายุ,ความรู้,ประสบการณ์,ทัศนคติ,ความถนัด
                                     แต่ ทุกคนต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ( ไม่ง่ายเลยนะครับ) 

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ต้องมีความไว้วางใจกัน 

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ต้องจริงใจกัน หวังดีต่อกัน หวังดีต่อองค์กร

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ ถ้าเห็นความผิดพลาดของเพื่อน ต้องเตือนก่อนที่จะเกิดขึ้น
                                      ไม่คอยสมน้ำหน้า ไม่รอดูความเสียหายของเพื่อนเพราะนั่นคือทั้งทีมที่เสียหาย

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ต้องรู้หน้าที่ของตัวเองและต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าทุกคนทำได้ดี ทีมก็จะดี

Team Work  คือ กลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ด้วยมากกว่า คนที่บ้านซะอีก ( รักกันมากๆนะ)

Team Work  คือ กลุ่มคนที่พร้อมจะยืนข้างๆกัน เพื่อรับคำตำหนิและรับช่อดอกไม้จากลูกค้า

Team Work  คือ กลุ่มคนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขององค์กร

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ ทำให้งานในแต่ละวันของเรามีสีสัน สนุกกว่าทำอะไรคนเดียวเยอะ

Team Work  คือ กลุ่มคนที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ผมขาด Team Work  ไม่ได้จริงๆ


Team Work Makes The Dream Work = ฝันเป็นจริงได้เพราะทีม


ขอบคุณจากใจ สำหรับทุกๆ Team Work  
ที่คอยอยู่ข้างๆ 
คอยเป็นลมที่พยุงผมให้บินมาได้ไกลขนาดนี้ 

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

ก้อนอิฐบนกำแพง




กาลครั้งหนึ่ง มีพระหนุ่มรูปหนึ่งได้รับมอบหมายจาก หลวงพ่อให้ก่ออิฐสร้างกำแพงวัดขึ้นมาใหม่

แทนกำแพงไม้รวกที่เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา

สืบเนื่องมาจาก ท่านมีอาชีพเป็นช่างก่อสร้างที่มีฝีมือ มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของเมือง ก่อนที่จะมาบวช

ด้วยมือและสายตาที่เที่ยงตรง ในการวางอิฐ ก่ออิฐไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือกำแพง

โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือใดๆมากำหนด

และยังสามารถเลือกอิฐที่มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะสมมาวางต่อกันได้อย่างพอดิบพอดี

งานก่ออิฐของท่านจึงถูกมองว่าเป็นงานศิลปะ มากกว่างานก่อสร้าง



พระหนุ่มหวังว่า กำแพงวัดที่ท่านก่อขึ้นจะต้องสวยงามที่สุด สมบรูณ์ที่สุด

ท่านจึงตั้งใจ มุ่งมั่น ทุ่มเท ทั้งเวลา,ความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมมา เพื่อกำแพงนี้

จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสิบเป็นร้อย ท่านบรรจงวางอิฐด้วยความตั้งใจ อย่างไม่ย่อท้อ

จากหนึ่งด้านของวัด เป็นสองด้าน จนกระทั่งเกือบจะครบทั้งสี่ด้านของวัด


จะด้วยความอ่อนล้าจากการทุ่มเท ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หรืออาจจะด้วยความประมาท ก็สุดที่จะคาดเดา

ขณะทีกำแพงด้านสุดท้ายกำลังจะเสร็จ ท่านได้ทำอิฐก้อนหนึ่ง พลาดหลุดจากมือ

ลงกระแทกกับก้อนหินที่พึ้นอย่างจัง จนทำให้อิฐก้อนนั้นเกิดรอยบิ่นขึ้นอย่างชัดเจน

อิฐก็เหลือน้อยลง จะเผาใหม่ก็คงไม่ทันการณ์ ท่านจึงจำใจต้องใช้อิฐก้อนนั้น เพื่อให้กำแพงเสร็จสมบูรณ์

แต่ก็ยังโทษตัวเอง โกรธตัวเองที่ทำให้กำแพงไม่สมบรูณ์แบบตามที่ตั้งใจ เพราะอิฐก้อนนั้น


ข่าวการสร้างกำแพงวัดของพระรูปนี้ กลายเป็นเรื่องที่ชาวบ้านให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

หลังจากกำแพงเสร็จสมบูรณ์ การเดินดูกำแพงอิฐของวัดจึงเป็นกิจกรรมที่จะพลาดเสียไม่ได้

แน่นอนที่สุดที่ บุคคลที่หลวงพ่อมอบหมายให้นำชมก็คือพระหนุ่มรูปนี้นี่เอง

ทุกครั้งพระหนุ่มจะพาชาวบ้านเดินดูกำแพงพร้อมกับบรรยายวิธีการทำงาน ด้วยความภาคภูมิใจ

แต่พอถึงจุดที่มีอิฐบิ่นๆก้อนนั้นอยู่ ท่านจะมีสีหน้าวิตกกังวลและจะพยายามเดินผ่านให้เร็วที่สุด

เพื่อไม่ให้ใครสังเกตุเห็นอิฐที่มีตำหนิก้อนนั้น  !!!


เหตุการณ์นี้ ไม่สามารถหลุดรอดสายตาของหลวงพ่อไปได้

และด้วยความสงสัยท่านจึงได้ไต่ถามเรื่องนี้กับพระหนุ่ม

หลังจากฟังเรื่องจากพระหนุ่มแล้ว หลวงพ่อจึงพูดขึ้นมาว่า

"ท่านจะกังวลกับอิฐก้อนนั้นเพียงก้อนเดียวไปทำไม 

ในเมื่อบนกำแพงนั้นยังมีอิฐที่สมบรูณ์อีกนับพันก้อน"



ถ้าท่านเลือกที่จะมองแต่จุดบกพร่องในชีวิต ชีวิตท่านจะมีความสุขได้อย่างไร 

ถ้าท่านทำทุกอย่างด้วยใจ อย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องเปิดใจยอมรับ 

ถ้าท่านมัวแต่กังวลว่า จะมีคนคอยจับผิดท่าน ตำหนิท่าน ท่านจะมีความสุขได้อย่างไร 

ไม่มีอะไรในชีวิตที่สุดสมบูรณ์แบบ ชีวิตต้องเรียนรู้และต้องหาทางแก้ไข 

บางครั้งความผิดพลาด นั้นเองที่ทำให้ ชีวิตเรามีสีสัน 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา พระหนุ่มก็หยุดตรงอิฐก้อนนั้น แล้วชี้ให้ชาวบ้านดู ด้วยใจที่เป็นสุขสบาย 





วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

กำลังภายใน




ความสำเร็จ คือ การที่เราทุ่มเททั้งกายและใจ ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ความฝัน เกิดขึ้นจริง 

ก้าวแรกของความสำเร็จ คือ เชื่อ ใน ความฝัน 

แล้วอะไรทำให้เกิด ความฝัน ??? 


ผมว่าการที่เราจะมีความฝันได้ จะต้องมีกำลังขับเคลื่อน 2 ส่วนครับ 

- กำลังภายนอก หรือ ที่เราเรียกว่า  Motivation ส่วนใหญ่จะได้จากคนอื่น ไม่ว่า เจ้านาย,

ลูกค้า คนรัก เพื่อนร่วมงาน มาคอยกระตุ้น ซึ่งอาจจะอ่อนกำลังลงถ้าได้ไม่มีใครมากระตุ้น 

กำลังแบบนี้ไม่ค่อยคงที่  ไม่ค่อยยั่งยืนครับ ความเข้มข้น รุนแรง ขึ้นอยู่กับ คนที่ส่งมาให้ 


- กำลังภายใน (ที่ไม่ต้องไปฝึกที่วัดเส้าหลิน 5555)  หรือ Inspiration นั่นเอง 

Inspiration คือสิ่งที่ผมอยากพูดถึง คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องมี เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมาย 

มีความหมายของ Inspiration อันหนึ่งที่ผมอ่านเจอมาแล้วชอบครับ เห็นภาพเลย 


เห็นด้วยไหมครับ ถ้าเราไม่มี Inspiration ก็เท่ากับเราไม่มีลมหายใจ ( ตายแน่ๆ) 

Inspiration ทำให้เรามีความฝัน 

Inspiration ทำให้เรามีเป้าหมายชัดเจน 

Inspiration ทำให้เรามีความมุ่งมั่น 

Inspiration ทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ 

Inspiration ทำให้ชีวิตเรามีทิศทาง 

Inspiration ทำให้เราสู้ อดทน ต่ออุปสรรค 

Inspiration ทำให้เราไม่ท้อถอย

Inspiration ทำให้เรามีความกระตือรือล้น 

Inspiration ทำให้ชีวิตเรามีแต่เรื่องสนุก ตื่นเต้น 

Inspiration ทำให้เรามีวันพรุ่งนี้ 





Inspiration สามารถเกิดจากหลากหลายที่มาครับ แล้วแต่เราจะเปิดใจสัมผัส เปิดใจรับ 

ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ฟัง,หนังที่เราได้ดู, หนังสือที่ได้อ่าน, งานศิลปะ, รูปถ่าย, 

นักกีฬาที่เราชื่นชอบ, Facebook ของเพื่อน, ข้อความดีๆ ที่เพื่อนส่งมาทาง line, คนในครอบครัว,

เจ้านาย,เพื่อนร่วมงาน,ลูกน้อง,คนที่เราได้คุยด้วย มาได้หลายทางเลยใช่ไหมครับ เยอะครับ 

ก่อนที่จะลงมือเขียนเรื่องนี้ ผมเพิ่งได้ Inspiration จากคำพูดของน้องที่ทำงานคนหนึ่ง 

ซึ่งกำลังจะลาออก ไปทำตามความฝันของตัวเอง โดยการออกไปทำสวนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง 

คุยกับเค้าแล้ว ผมนี่อยากออกไปตามฝันเลยครับ  เค้าพูดว่า


"ผมเป็นนักล่าฝันครับพี่ ฝันแล้วต้องทำครับพี่ เท่อ่ะ 


Inspiration ที่เข้มแข็ง ทรงอานุภาพที่สุด จะต้องเกิดจาก

"ตัวคุณเอง" เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว 

กำลังภายในนี้จะไม่มีวันหมดหรืออ่อนแรงเลย

เจอ Inspiration แล้วทำตามความฝันให้สุดๆ นะครับ 
แล้วคุณจะรักตัวเอง 
แล้วคุณจะเห็นคุณค่าของตัวเอง 

แล้วคุณจะกลาย Inspiration ของคนอื่น 






วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

Up LeVeL





ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือประเภท How To ครับ แต่ก็ไม่ได้ทำตามทุกเรื่อง ทุกอย่างนะครับ

บางเล่มเป็นแนวคิดของฝรั่งเค้า จะเอามาใช้ทั้งหมดคงไม่ค่อยเหมาะครับ 

ต้องเอามาประยุกต์ เอามาเป็นแนวทาง เลือกใช้ให้ถูกที่ ถูกทางดีกว่าครับ 

ถึงจะเป็น How to ที่นักคิด นักเขียนไทยเขียน ก็ยังต้องเลือกทำ เลือกใช้ให้เหมาะสมนะครับ 


How to ที่ผมจะเอามา share ให้อ่านวันนี้เกี่ยวกับ การพัฒนาตัวเอง ให้เก่งขึ้น 

เผื่อใครมี Plan สำหรับปีนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม ไม่แน่ใจว่าเราเก่งไหม???  

เห็นว่าน่าสนใจดี ลองอ่านดูนะครับ


20 วิธีการพัฒนาตัวเอง แต่งเติมชีวิต ความฝัน และแรงบันดาลใจ

1) คิดบวกกับตัวเองและคนรอบข้าง

2)
ขอบคุณชีวิต

3)
ค้นหาของขวัญสำหรับชีวิตตัวเองให้พบ

4)
เขียนตารางแผนงาน เป้าหมายความสำเร็จ

5)
เขียนวิธีการให้แผนงานสำเร็จทุกเป้าหมาย

6)
ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบ

7)
ทำให้ชีวิตมีความสุข รอยยิ้ม ทุกวัน

8) เริ่มต้นเป็นผู้ให้ ที่เปี่ยมสุข

9)
จัดหาสมุดบันทึกความฝัน สมุดบันทึกคำขอบคุณ เขียนและอ่านสม่ำเสมอ

10)
ทำกรอบรูป แผนการดำเนิชีวิตหรือ Life Success Plan ขึ้นกรอบโต ติดฝาบ้าน

11)
ขวนขวาย และค้นหาความรู้ใหม่เสมอ ทั้งเรื่องงาน และไม่เกี่ยวกับงาน

12)
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกาย และใจ โดยเฉพาะสุขภาพใจ สำคัญมาก

13)
ผูกมิตรกับเพื่อนเสมอ

14)
ทำให้ครอบครัว อบอุ่น มีความสุข เพราะเป็นสังคมครอบครัวที่สำคัญมากสำหรับเรา

15)
ทำให้เกิดผลงานที่ดีเยี่ยม (ไม่ใช่ดีธรรมดา)

16)
คิดสร้างสรรค์ ทำให้ดีขึ้นแบบแกะดำ นอกกรอบ ขยายผล เปลี่ยนแปลง แปลกใหม่สดใส

17)
ไม่ยอมแพ้... ล้มได้ หกล้ม คลุกคลานได้ โซโซ ได้ แต่ทุกครั้งที่ล้ม เราจะลุกขึ้นยืน 
        และก้าวเดินต่อไปให้ได้ทุกครั้ง

18)
สร้างกำลังใจดี ๆ ให้ตัวเองเสมอ

19)
คิดเสมอปัญหาและอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราต้องพบ 
       และเราสามารถจัดการมันได้

20)
สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิตเราเสมอ




ผมจำไม่ได้จริงว่า เคยอ่านมาจากไหน เลยไม่รู้จะให้เครดิตใคร 

จำได้แต่ว่าเคยอ่านมานานมาก และลองลงมือทำด้วย 

แค่บางหัวข้อนะครับ ไม่ได้ใช้ทั้งหมด แต่เก็บไว้ใกล้ตัวเสมอๆ คอยเอามาทบทวน เอามาเตือน

มาสะกิดตัวเองบ่อยๆ หวังว่า 20 ข้อนี้ คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย 



" การได้อ่านหนังสือดีๆ มีข้อมูลดีๆ แต่ไม่นำไปใช้ 


ก็เหมือนคุณมี Ferrari แต่จอดไว้ในโรงรถ แล้วปั่นจักรยานแทน"