วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Your Last Day




เกือบ 10 วันนับจาก  Blog เรื่องสุดท้าย ขอสารภาพแบบ แมน แมน เลยครับ ว่า ที่เว้นช่วงมาหลายวัน 

ไม่ใช่ว่างานยุ่ง ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องจะเขียน ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงบันดาลใจ แต่....ผมขี้เกียจ !!! 

จะมีขยันอยู่ก็เรื่องเดียวแหละครับ ขยันหาข้ออ้าง ข้อแก้ตัว ที่จะไม่เขียน !!! 

ซึ่งก็แปลกนะครับ หาได้ตลอดเวลา สารพันเหตุผล หลอกตัวเอง ปลอบตัวเอง ไปวันๆ 

(เศร้าแกมสมเพช ตัวเอง จริงๆ เฮ้ออออ ) 


ส่วนเหตุที่กลับมาเขียนวันนี้ ก็ไม่ใช่ว่า ผมจนมุมตัวเอง จนหาข้ออ้างไม่ได้นะครับ 

แต่ผมกลัวว่า.... 

ผมจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ขี้เกียจ กลัวว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้หาข้ออ้าง 

กลัวว่าผมจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ที่ผมจะได้ทำสิ่งที่ผมรักอีก...ฉะนั้น ตอนนี้ ตอนที่ยังหายใจอยู่ จงทำซะ !!! 


ผมเชื่อว่า มีคนอยู่ไม่น้อย ที่เคยมีความรู้สึก.... แบบว่า 

อยู่ดีๆ ก็ไม่มีความกระตือรือร้น 

อยากใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่อยากทำอะไรใหม่ๆ ดีๆ เป็นประโยชน์กับตัวเอง 

ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย กับคนที่บ้าน 

ไม่ตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่อยากทุ่มเทอะไรให้ใคร 

ตั้งใจลดน้ำหนัก ตั้งใจจะเลิกบุหรี่ ตั้งใจจะทำธุรกิจส่วนตัว ตั้งใจจะเป็นคนดี  ก็ได้แต่ตั้งใจ

พร่ำบอกตัวเองว่า " พรุ่งนี้ก็ได้ วันหลังก็ได้ เอาไว้ก่อนก็ได้ "  คุณพลาดแล้วครับ 

เหมือนที่ผมพลาด ไม่ได้ฝึกเขียน Blog มา 10 วัน พลาดไม่ได้ทำสิ่งที่รักมา 10 วัน !!! 




ลองคิดดูนะครับว่า

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะได้กอดคนที่คุณรัก 

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะได้หอมแก้มลูก 

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะได้บอกรัก สามี ภรรยา

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะมีโอกาสได้ทำงาน  

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ในตัวเอง,คนรอบๆตัว,ที่ทำงาน

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันที่คุณจะไม่มีโอกาสแก้ไขงานของคุณ 

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะได้ฝัน 

ถ้าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 

คุณอยากจะทำอะไร  ใน 24 ชั่วโมง สุดท้ายในชีวิตของคุณ !!! 







จงทำ จงคิด จงพูด  จงรัก จงใช้ชีวิต วันนี้ของคุณ

ให้ สุดยอดที่สุด เหมือนกับไม่มี " พรุ่งนี้ "

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Connecting Dots





ส่วนใหญ่ หลังจากที่ผมปิด office แล้วเดินกลับมาถึงที่ห้องพัก

พอโทร.รายงานความคืบหน้ากับหวานใจ (ว่าไม่ได้ออกไปนะจ๊ะ ยังเป็นเด็กดีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน)

ผมจะหาเวลา นั่งนิ่งๆ เงียบๆ อยู่กับตัวเอง ซักพัก

ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน บางครั้งก็จะนึกถึง Plan ที่ทำไว้ตั้งแต่ต้นปี

ทบทวนว่าทำอะไรเพื่อเป้าหมายที่วางไว้แล้วบ้าง ต้องทำอะไรอีกบ้าง ใกล้แค่ไหนแล้ว


เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ จู่ๆก็มีคำถามแว๊บขึ้นว่า  

"เรามาถึงวันนี้ เราเป็นเรา ในวันนี้ได้ยังไง เริ่มต้นจากไหน ผ่านอะไรมาบ้าง" 

(อาจจะ เข้าวัยทองด้วยน่ะครับ เลยนั่งนึกความหลังแบบนี้ 555) 

คำตอบที่ได้ก็คือ เรามีวันนี้ เราเป็นแบบนี้ น่าเป็นเพราะสิ่งที่เราได้จากครอบครัว จากพี่น้อง

จากสิ่งต่างๆ ที่เราทำในอดีต จากงานต่างๆที่เคยทำผ่านมา

ทักษะต่างๆที่เราฝึก หนังสือหลากหลายที่เราอ่าน ปัญหามากมายที่เราเจอ ผู้คนที่เราทำงานด้วย 

เพื่อนๆที่เราคบหา เพลงที่เราฟัง สถานที่ๆ เราเคยไป  

เห็นด้วยไหมครับว่า สิ่งที่เราทำในอดีต หรือ เรียกง่ายๆว่า " ประสบการณ์" ทำให้เรามีปัจจุบัน !!!


พอคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Steve Jobs ที่เคยพูดไว้ว่า


"You Can't Connect The Dots Looking Forward;You Can Only Connect Them Looking Backward

หมายความตามแบบที่ผมเข้าใจ น่าจะประมาณนี้ครับ


  " คุณไม่ทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่คุณทำวันนี้จะเชื่อมต่อกันได้อย่างไร เพื่อนำคุณไปสู่อนาคต 

แต่ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นว่า สิ่งต่างๆที่คุณได้ทำ นำคุณมาสู่ปัจจุบัน "


ประสบการณ์แต่ละอย่าง แต่ละเรื่อง ก็เหมือนกับจุด แต่ละจุดในภาพลากเส้นจุดประแบบที่เราทุกคนเคย

เล่นตอนเป็นเด็กน้อย เราจะเริ่มจากรูปง่ายๆ จุดน้อยๆ ซึ่งรูปที่ออกมาก็จะดู เหลี่ยมๆ แข็งๆ ไม่สวยงาม

 แต่ถ้าภาพลากเส้นนั้น มีจุดมากๆ ถี่ๆ กว่าจะลากได้ครบถ้วน ก็ต้องใช้ความพยายาม แถมตอนเริ่มต้น

ยังมองไม่ออกอีกด้วยว่าเป็นรูปอะไร ต้องลากไปสักหน่อย ถึงจะพอมองออก

เมื่อลากเส้นทั้งหมดแล้ว เราถึงจะได้เห็นว่า รูปนั้นสวยมากเพียงใด




การมีชีวิตที่ผ่านประสบการณ์หลากหลาย ผ่านการทำงานต่างๆ ผ่านการแก้ปัญหามากมาย 

สั่งสมความรู้ เติมเต็มความสามารถ อย่างต่อเนื่อง

ไม่ท้อถอย มุ่งมั่น ทำสิ่งที่เรามั่นใจว่าดีกับตัวเอง ถึงแม้ว่ายังไม่รู้ว่า ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร 

 ก็เหมือนกับเรากำลังสร้างจุดมากมาย เพื่อที่จะเชื่อมโยงให้เป็นภาพ 

เพื่อที่จะสร้างให้เป็นภาพสุดท้ายที่สวยงาม

เพื่อการสร้างอนาคตที่ดี ที่สดใส ซึ่งบางครั้งอาจจะดีมากกว่าที่เราคาดไว้ก็ได้


ไม่ว่าเราจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เราต้องเริ่มจากจุดแรก ก้าวแรกเสมอๆ 

คนที่จะไปถึงปลายทางฝัน ได้เห็นภาพที่เต็มรูปแบบ คือ คนที่ มุ่งมั่น ไม่ท้อ เดินต่อไป เท่านั้น 

ถ้าคนอื่นทำได้ คุณก็ทำได้ ผมเชื่อ :) 



วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

The Missing Piece



อีกไม่กี่วันแล้วนะครับ ก็จะถึงวันที่คนโสด(บางคน) อยากให้หายแว๊บไปจากโลกนี้เลย 

เอาไว้ให้เลิกโสดแล้วค่อยมีอีกที 5555 

จริงๆแล้วการเป็นโสดก็ไม่ได้เลวร้ายมากหรอก อาจจะน่าสงสารบ้าง เล็กน้อยถึงปานกลาง 

แต่ถ้าจะให้คนไม่โสดแบบผม เปลี่ยนสถานะเป็นโสดอีกคงไม่ดี(ต่อชีวิตและสุขภาพ) แน่แท้ 5555 


ผมว่า คนโสดแต่ละคนมีเหตุผล มีสาเหตุแตกต่างกันนะครับ 

บางคนก็เต็มใจโสด แบบว่า อยู่คนเดียวสบายใจกว่า งานก็ยุ่งพอแล้ว ไม่อยากหาเรื่องปวดหัว 

ถึงจะไม่ค่อยสนุกก็เหอะ (ห้ามทะลึ่งนะ ตะเอง) 

บางคนก็ไม่ค่อยเต็มใจนัก แบบว่าโดนยัดเยียด โดนมอบให้โดยไม่ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ เดือดร้อน ไม่ดิ้นรน

อยู่แบบนี้ไปได้เรื่อยๆ สบายใจไปอีกแบบ 

พวกที่น่าสงสารที่สุด ผมว่าน่าจะเป็นพวก อยากสละตำแหน่ง พยายามมองหา ไขว่คว้า แต่ก็ไม่เจอ 

บางครั้งเจอ แต่ก็ไม่ใช่ เอ้าหากันใหม่ พยายามกันต่อไป 

ผ่านมา 40 กว่าฝน 40 กว่าหนาว กับอีกหลายแดด ผมว่าของแบบนี้ ยิ่งวิ่งตาม ยิ่งค้นหา ยิ่งไม่เจอครับ 

การที่เราจะมองหาคนที่ดีพอ เหมาะสม 100% มันไม่ง่ายครับ ยิ่งมีเงื่อนไขเยอะ สเปคสูงๆด้วย 

ลงจากคานยากครับ ( จริงๆ ผมเองกว่าจะได้ลง ก็แทบแย่อยู่ เหมือนกันนะเนี่ย 555 ) 



วันนี้ผมมีบันไดให้ คนโสด(ที่ไม่อยากโสด) ใช้ไต่ลงจากคานกันครับ 

เป็นนิทาน ชื่อ " The Missing Piece Meets The Big O" เขียนโดย Shel Silverstein เมื่อปี 1976 

เกือบ 40 ปีมาแล้วครับ แต่เนื้อหายังให้ได้ ไม่มีตกยุค  จริงๆเนื้อหาไม่ได้ใช้สำหรับ การตามหาคนรัก

เพียงอย่างเดียวนะครับ ผมว่าสามารถมาใช้กับการใช้ชีวิตประจำวัน ในที่ทำงานก็ได้ครับ 

ไม่ต้องอ่านครับ วันนี้มาเป็นการ์ตูนเลยครับ ( คือว่า ขี้เกียจพิมพ์อ่ะครับ 5555) 

  CLICK HERE  >>>>>  The Missing Piece Meets The Big O  <<<<< CLICK HERE 

ห็นกันแล้วใช่ไหมครับ 

สิ่งเดียวที่จะทำให้เรา ไม่ต้องโดดเดียว ไม่ต้องอ้างว้าง ไม่ต้องเหงา 

นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับโลกรอบตัว คนรอบข้าง 

ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเปลี่ยนเพื่อเราหรือเดินเข้ามาหาเรา 

เราเองต่างหากครับ ที่ต้องเปลี่ยนและเดินเข้าไปหา 

เปลี่ยนความคิด ทัศนคติ มุมมอง ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ 

ถ้าคุณทำได้ สิ่งที่คุณจะได้กลับมา ยิ่งใหญ่เสมอ



วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

PURO ISHIKI ( プロいしき)



ชื่อเรื่องมาเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบนี้ อย่าคิดว่าผมจะมาพูดอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นๆ นะครับ  

แค่ขอเกาะกระแส Japanese นิดนุง มาแรงมากๆช่วงนี้ ใครๆก็ไปได้ ใครๆก็อยากไป ใครๆก็ต้องไป 

ใน Facebook นี่ up รูปกัน แทบทุกวัน ( ผมนี่.....ตาร้อนเลย......5555) 


"PURO ISHIKI  (プロいしき)"  อ่านว่า ปุโละอิชิกิ

คำนี้แปลว่า "ความมีศักดิ์ศรีในวิชาชีพของตนเอง" เป็นคำนามเกิดจากความนามสองตัวมา

รวมกัน คือ "PURO (ปุโละ)" และ "ISHIKI (อิชิกิ)

คำว่า "PURO (ปุโละ)" เป็นคำย่อที่มากจากภาษาอังกฤษคำว่า "Professional"


อ่านเจอแล้ว ถูกใจความหมายของคำนี้มากครับ เหมือนมีพลังบางอย่างในคำๆนี้ 


"Professional"  เป็นสิ่งที่คนทำงานทุกคนอยากเป็น หลายคนพยายามเรียกตัวเอง

พยายามประกาศในคนอื่นรู้ โดยที่บางครั้งยังไม่รู้เลยว่า แบบไหนถึงจะเป็น PURO ต้องทำตัวยังไง

คิดยังไง ??? แค่ทำงานมานาน แต่งตัวดูดี ภูมิฐาน ใช้ของแบร์ดเนม ??

พูดจาดูดี มีหลักการ เต็มไปด้วย หลักวิชา ไทยคำ อังกฤษคำ แค่นั้นเหรอครับ นั้นมันแค่เปลือก

ผมว่า "Professional" น่าจะมีคุณสมบัติภายใน มากกว่า รูปลักษณ์ภายนอกครับ 




ผมเพิ่งเจอตัวเป็นๆ เมื่อ 2-3 วันมานี่เอง

ที่ทำงานผมจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่มาเยี่ยม มาตรวจสอบการทำงานบ่อยๆ

ความยากอย่างหนึ่งของงานนี้คือ ต้องเดินทางตลอดเวลาครับ ไม่ต่ำกว่า 20 วัน

หรือกว่านั้นในแต่ละเดือน ต้องห่างบ้าน ห่างครอบครัว ห่างคนรัก

คนที่ไม่มีใจรักจริงๆ อยู่ได้ไม่นานครับ จึงทำให้มีคนใหม่ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมากันตลอด


คนที่มาก็หลายรูปแบบครับ อาจจะด้วยว่าไกลหูไกลตานาย มีบ้างที่ถือโอกาสอู้งาน

เหมือนมาพักร้อน มา 3 วัน ทำงานจริงวันเดียวอีก 2 ก็หายบ้างแว๊บบ้าง

หรือมานั่งคุยโทรศัพท์ เล่นคอมหรือนั่งเม้าส์กับพนักงานซะงั้น

คนไหนที่มีครอบครัวก็จะมีมาบ่น ว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงลูก ไม่ค่อยได้เจอกัน บ่นกันเป็นปกติมากๆ

แต่น้องคนที่ผมจะพูดถึงนี้ เจอกันมา 2 ปีน่าจะได้ ผมไม่เคยได้ยินเค้าพูดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องงาน

เจอกันทุกครั้งกัน ก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายทุกคน ไม่มีท่าทีเหนื่อย ถึงแม้ว่าต้องเดินทางไกล

เรื่องงานผมว่าเกิน 100% มาแต่เช้า นั่งทำงานตลอดเวลา แจ้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มาอัพเดทตลอดๆ


ที่สำคัญ ผ่านมา 2 ปี ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีครอบครัว มีลูกชายวัยกำลังโต ตั้งสองคน

ที่ผมไม่รู้ เพราะว่า เธอไม่เคยเล่า ไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัว ในระหว่างทำงานเลย

ทั้งที่ในฐานะแม่ ผมว่าคงยากที่จะไม่ห่วง ไม่กังวลเรื่องลูก ซึ่งผมจะได้ยินคนอื่นพูดให้ฟังเสมอๆ

เธอบอกว่า เธอโชคดีที่มีคุณยายคอยดูแลลูกๆให้ จะคุยกันก็ตอนเลิกงาน  มีเวลามาทำงานแค่วันสองวัน

ต้องทำงานให้เต็มที่ ต้องให้ความรู้ ต้องทำประโยชน์ให้น้องๆ เต็มที่( เธอเป็น Training Manager น่ะครับ)

สำหรับ ผมเธอคือ "Professional" ครับ



"Professional"  คือ คนที่ทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี อย่างสม่ำเสมอ 

"Professional"  คือ คนที่มีทัศนคติที่ดีในทุกสถานการณ์ 

"Professional"  คือ คนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 

"Professional"  คือ คนที่ไม่ก้าวก่าย ไม่ล้ำเส้นงานคนอื่น 

"Professional"  คือ คนที่ให้ความเคารพในงานตัวเอง 

"Professional"  คือ คนที่ให้ความเคารพในกติกา 

"Professional"  คือ คนที่ให้ความเคารพเพื่อนร่วมงาน 

"Professional"  คือ คนที่รู้หน้าที่ ไม่ต้องรอเจ้านายสั่งงาน ตามงาน 

"Professional"  คือ คนที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้

"Professional"  คือ คนที่รู้จักขอโทษ ยอมรับในความผิดพลาด 

"Professional"  คือ คนที่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานได้อย่างชัดเจน 

"Professional"  คือ คนที่ทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ อย่างเต็มความสามารถ 

"Professional"  คือ คนที่ทำงานเกินความคาดหมาย 

"Professional"  คือ คนที่มีความยืดหยุ่น 

"Professional"  คือ คนที่นำความชำนาญมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

"Professional"  คือ คนที่ทำในสิ่งที่พูดและพูดในสิ่งที่ทำได้ 

"Professional"  คือ คนที่ไม่หยุดเรียนรู้ 

"Professional"  คือ คนที่ให้กำลังตัวเองและคนรอบข้างได้ 

"Professional"  คือ คนที่ไม่ต้องประกาศตัวเองว่าเป็น (ข้อนี้สำคัญที่สุด)



ผมว่าคนเรามีความเป็น "Professional" กันอยู่ในตัวกันทุกคนครับ 

มากบ้าง น้อยบ้าง หลากหลายแง่มุม ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะมองในมุมไหน คนอื่นจะเห็นเราในแง่ใด

ไม่ว่ามุมใด แง่ไหนหรือใครเห็น ผมว่าไม่สำคัญครับ

สิ่งที่สำคัญ ในการทำงานที่เราต้องมี....คือ


" PURO ISHIKI - ความมีศักดิ์ศรีในอาชีพของตัวเอง "






วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรา 3 คน



เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการมีกิ๊ก  ไม่เกี่ยวกับมือที่ 3 แล้วก็ไม่ใช่เรื่องครอบครัวร้าวฉานด้วยครับ

แต่ผมจะมาชวน พวกเรา แยกร่างกันครับ  !!!! 55555 มาเถอะครับ เชื่อผม แยกแล้วสบายใจ จริงจริ๊ง 

เอ้า เข้าเรื่องดีกว่าครับ :) วิชานี้ผมได้มาจาก หนังสือที่กำลังอ่านชื่อ " หนังยางล้างใจ" ครับ 

เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่านอีกเล่มหนึ่งครับ 


เค้าบอกว่า สิ่งที่เราไม่อยากเจอและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตคือ "ความขัดแย้ง" 

ไม่ว่าจากสาเหตุอะไร เล็กหรือใหญ่แค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกัน เรื่องขัดผลประโยชน์

เรื่องในที่ทำงาน เรื่องที่บ้าน เรื่องขับรถขับรา สารพัด สารพันสาเหตุ 

"ความขัดแย้ง"  ไม่ว่าจะ รุนแรงแค่ไหน แค่ไม่พอใจเงียบๆ หรือจะยกระดับเป็นงอนใส่กัน 

หรือถึงขั้นมีปากเสียง วิชา แยกร่าง-เรา 3 คน ช่วยท่านได้ครับ 


เวลาที่เริ่มมีความขัดแย้งกัน เริ่มเถียงกัน คนส่วนใหญ่จะเห็นว่า ความคิด,ความเห็น,เหตุผลของตัวเอง

ถูกต้องเสมอ ต่างฝ่ายจะหยิบยก เหตุผลของตัวขึ้นมาพูดและ พยายามหาเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้าม

ต่างฝ่ายต่างพูดไม่ค่อย มีคนฟังหรอกครับ เสียงก็จะค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น ตะโกนใส่กัน ในที่สุดก็ทะเลาะกัน


ก่อนถึงขั้นทะเลาะกัน ให้เราแยกร่าง เป็น 3 ร่างเลยครับ

- ร่างที่หนึ่ง ก็ ตัวเราเองนี่แหละ

   ใช้หลัก 3 วิ.เปลี่ยนชีวิต ที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้นะครับ  แล้วลองทบทวนดูนะครับว่า

   เราได้อะไรจาก "ความขัดแย้ง" ครั้งนี้
 
   จำเป็นแค่ไหน ที่เราจะต้องมาเสียเวลากับ "ความขัดแย้ง"

   มีใครได้ประโยชน์จาก "ความขัดแย้ง" นี้บ้าง

   เถียงจนชนะ แต่เสียเพื่อน,เสียคนรัก,เสียใจ ก็เท่ากับแพ้

   ใช้คำพูดที่รุนแรง หยาบคาย สะใจแต่ ทำร้ายความรู้สึก คิดก่อนพูด เสมอๆ


ร่างที่สอง คนที่เรามี "ความขัดแย้ง" ด้วย

  ให้เราเข้าสิงร่างเขาเลยครับ เข้าไปดูสิครับว่า คิดอะไรอยู่ เอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเองครับ 

  เขาต้องมีความเชื่อมั่น ว่าเหตุผลของเขาดีที่สุด (เหมือนเราเลย)

  เขาต้องเชื่อว่า สิ่งที่เขาคิดถูกต้องแล้ว (เหมือนเราอีกแล้ว) 

  เขาต้องการให้เรายอมรับ ความคิดของเขา (เหมือนเรา  3 ครั้งซ้อนเลย)

  เขาต้องการให้เราฟัง ที่เขาพูด มากกว่าอยากจะฟังเรา (ใช่เลย เหมือนกันอีกแล้ว)

  เขาอาจจะมีเรื่องอื่นมากระทบใจ ทำให้ไม่สบายใจมาก่อนจะเจอเราก็ได้ ( แหม..ตัวเราชัดๆ)


ร่างที่สาม คนที่อยู่รอบนอกของ "ความขัดแย้ง" 

 ลองจินตนาการว่าเราลอยอยู่เหนือ 2 คนนี้ ดูภาพเหตุการณ์ แบบ Bird Eye View 

เราจะเห็น เด็กไม่มีเหตุผล 2 คนยืนเถียงกันอยู่ ( คนโต เค้าไม่ทำแบบนี้กันน่ะ)

เราอาจจะเห็น คนเจ้าอารมณ์ 2 คนยืนพ่นน้ำลาย ตะโกนใส่กัน

เราจะเห็น เรื่องตลกอีกเรื่อง ที่มีตัวตลก 2 คน เถียงกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เราจะไม่มีวันเป็น คนที่ดูเสียกริยา เสียอาการแบบนั้น




"ความขัดแย้ง"  บางครั้งก็เป็นเรื่องจำเป็นในชีวิตนะครับ 

ความเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้า ทางออกของปัญหา 

แนวทางการพัฒนา หลายครั้ง เกิดมาจาก 

"ความขัดแย้ง"  อันนี้เห็นด้วยครับ 

แต่ต้องระวังอย่าให้ "ความขัดแย้ง"  มาทำลายมิตรภาพ,

ความรู้สึกดีๆ,ความรัก,ความหวังดี ที่เราเคยมีให้กัน

ซึ่งเมื่อถูกทำลายแล้ว ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้  




  ขอบคุณหนังสือ" หนังยางล้างใจ" ของ บอย - วิสูตร แสงอรุณเลิศ 

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Diamond Cutter





หลายๆคนคงเคยได้ยินวลีที่ว่า " ยอมแพ้เป็นถ่าน ถ้าข้ามผ่านเป็นเพชร" กันมาบ้างแล้วนะครับ

มีนักคิด นักเขียนมากมาย หลายคนพูดถึงเรื่องนี้ในแง่ที่ว่า

เพชรและถ่านมีต้นกำเนิดทางเคมีเหมือนกัน มีส่วนประกอบของธาตุคาร์บอนเหมือนๆกัน

แต่ด้วยระยะเวลา ความร้อน ความกดดัน ใต้พื้นโลก ลึกลงไปมากกว่า 100 ไมล์

ทำให้ถ่านกลายเป็นเพชร


ในที่ทำงาน ถ้าเราจะเปรียบ พนักงานดีๆ ซักคนว่าเป็นเพชร

เราในฐานะหัวหน้างาน คงต้องใช้ความพยายาม ต้องอบรม กดดัน เข้มงวดอย่างมาก

ที่จะพัฒนาใครซักคน ให้เป็นคนที่มีคุณภาพ มีความสามารถ มีคุณค่า เปรียบได้กับ เพชร

พนักงานคนนั้นก็คงจะต้อง ผ่านความกดกัน ผ่านปัญหา ผ่านประสบการณ์ ต้องฝ่าฟัน ต้องอดทน ไม่น้อย

เพื่อที่จะข้ามผ่านจากคนธรรมดา จากก้อนถ่าน กลายเป็นเพชรได้ เช่นกัน


ในมุมมองของผม แค่การที่เราจะทำให้คนในทีมเราเป็นแค่เพชร ยังไม่พอครับ 

บางครั้งกว่าเราจะปั้นใครให้เก่ง เค้าอาจจะไปฉายแสงที่อื่นแล้วก็ได้ 

ผมมองว่าเพชรที่ดีต้องได้รับการเจียรนัยที่ดีด้วย เพื่อที่จะได้ส่องประกาย ระยิบระยับ สวยงาม

ฉะนั้น หัวหน้าที่เก่ง นอกจากจะเก่งปั้นคนแล้ว 

ต้องเป็น Diamond Cutter หรือ ช่างเจียรนัย ที่เก่งด้วย 

บางครั้งเราอาจจะโชคดี ที่ได้เพชรที่ผ่านขบวนการต่างๆ แต่อาจจะยังไม่ได้รับการเจียรนัย 

ดูๆแล้วอาจยังไม่สวยที่สุด ต้องจับมาเจียรนัยซะก่อน 

เพชรบางเม็ด ก็อาจจะ ผ่านมือ Diamond Cutter  มาบ้างแล้วแต่อาจจะยังไม่ดีที่สุด 

ต้องเจียรนัยเพิ่ม ปรับเหลี่ยม ปรับมุมกันบ้าง เหมือน เพชรหลายๆเม็ดในทีมผม


ทักษะการเจียรนัย ก็คือ การ Coaching  นั่นเองครับ 




การ Coaching  ก็คือ การปรับแก้จุดอ่อน, พัฒนาจุดแข็ง 

โดยที่ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต้องเห็นตรงกัน 

ต้องทำแผนการที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ 

ต้องมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง


แล้วการ Coaching  ต้องทำยังไง ไม่ยากครับ มีแค่ 5 ขั้นตอนง่ายๆ

- Relationship  : เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ต้องทำให้เกิดความไว้วางใจระหว่างกัน

- Identify   : ร่วมกันมองหา จุดแข็ง จุดอ่อน ที่เราและเค้าอยากพัฒนาและได้ประโยชน์ 

- Action Plan : ร่วมกันสร้างแผนการแบบ S.M.A.R.T ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน 

- Review  :  ประเมินผลเป็นระยะๆ ตามแผนที่ทำไว้ 

- Adjust : ปรับแก้ ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม แผนถ้าจำเป็น 


ในฐานะหัวหน้า เราต้องไม่หยุดที่จะพัฒนา ต้องไม่เหนื่อยกับการในคำแนะนำ คนในทีมครับ 

เพราะสิ่งที่เราทุ่มเท นอกจากจะเป็นผลดีกับองค์กรแล้ว ยังเป็นความภาคภูมิใจส่วนตัวด้วย 

การที่เราได้เห็นคนในทีม เก่งขึ้น พัฒนาขึ้น นั่นคือ ผลงานของหัวหน้างานอย่างเรา 


ในฐานะ พนักงาน การที่เราได้รับการ Coaching  ที่ดีนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์แก่ตัวเราอย่างมาก 

การที่หัวหน้าคอยให้คำแนะนำ คำปรึกษานั้น เป็นการเพิ่มคุณค่า เพิ่มมูลค่าของตัวเองโดยแท้ 



เพชรที่ได้รับการเจียรนัยอย่างดีแล้วนั้น 

จะมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อที่จะครอบครองเพชรเม็ดนั้น 

ไม่ว่าราคาจะสูงแค่ไหนก็ตาม